Sunday, December 28, 2008





Saturday, December 20, 2008

V-Guide

Tuesday, December 9, 2008



Saturday, December 6, 2008

Tung tantawan



Lopburee



Sunday, November 30, 2008

Nong



Thursday, November 27, 2008

The royal golf club ladkabang



Wednesday, November 12, 2008

Loykratong



Tuesday, November 11, 2008



Saturday, November 8, 2008



Friday, November 7, 2008



Saturday, October 25, 2008

Prasamut jd celebrate



Hits 3

Wednesday, October 22, 2008



Friday, October 17, 2008

Versace spring 2009



Friday, October 10, 2008

Gold day



Wednesday, October 8, 2008

Dmc



Wednesday, October 1, 2008

รหัส(ไม่)ลับ นอสตราดามุส บทความพิเศษเรื่อง : อรุณลักษณ์ ไชยนันทน์ (ครูจู๊ด)



เหตุที่สนใจนอสตราดามุส
พ.ศ. ๒๕๓๐ มีนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งเป็นรุ่นน้อง (ขณะนี้ สอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แนะนำให้ซื้อหนังสือโคลงคำทำนายของนอสตราดามุสว่า มี เรื่องหมู่คณะนักสร้างบารมี ทำให้สะดุดใจว่า นอสตราดามุสมีชีวิตเมื่อ ๕๐๐ ปีที่แล้ว จะมาพูดเรื่องหมู่คณะในยุคปัจจุบันได้อย่างไร ได้ซื้อเป็นภาษาต่างประเทศ ไว้เล่มหนึ่งแต่ว่ายังไม่ได้สนใจที่จะศึกษาจริงจังจนกระทั่งหลังจากหล่อรูปเหมือนทองคำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายผ่านไปได้หนึ่งปี คือในพ.ศ. ๒๕๓๘ ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน ได้เขียนหนังสือแปลโคลงคำทำนาย นอสตราดามุสเกี่ยวกับ "ศรัทธาใหม่"ว่าบรรดาศาสดาพยากรณ ์หลายประเทศได้ลงความเห็นตรงกันว่า พระภิกษุไทยรูปหนึ่งนั่งสมาธิในสีเปลวเพลิง นั่นก็คือรูปหล่อทองคำหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ต่อไปท่านจะเป็นผู้นำของศรัทธาใหม่ ที่ทั่วโลก จะยอมรับโดยดุษณี อ่านประโยคนี้แล้วรู้สึก ประทับใจมาก จึงกลับไปค้นหนังสือที่ซื้อไว้ เมื่อ ๘ ปีที่แล้วมาศึกษาและลงมือแปลด้วยตนเองใน พ.ศ. ๒๕๓๙
ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสินกล่าวว่า โคลง คำทำนายของนอสตราดามุสที่พูดถึงศรัทธาใหม่ มี ๖๐ บท แต่ได้แปลเป็นภาษาไทย ๖-๘ บท เมื่อย้อนกลับไปดูภาษาอังกฤษที่ท่านแปลก็ใกล้เคียง กับพยานหลักฐานที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า จึงมีแรง บันดาลใจขึ้นมาอีกว่าจะต้องค้นหาที่เหลือให้ครบ คราวนี้ศึกษาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาที่ นอสตราดามุสเขียนในยุคกลางของยุโรป ตรงกับศตวรรษที่ ๑๕ เนื่องจากเคยเรียนวรรณคดีอังกฤษยุคกลางที่ใช้ภาษาในยุคนั้นมาแล้ว กับมีประสบการณ์ การเรียนภาษาฝรั่งเศส ๔ ปี ที่โรงเรียนเตรียม อุดมศึกษา พญาไท ๒ ปี และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีก ๒ ปี ยิ่งแปลต่อไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งพบว่า ได้กล่าวถึงหมู่คณะของเรา ของหมู่คณะนี้ คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และหมู่คณะนักสร้างบารมีโดยมีคุณครูไม่ใหญ่เป็นผู้นำ
ขณะที่แปล มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นยืนยันว่าแปลตรงกับคำทำนาย ทำให้เกิดกำลังใจที่จะแปลต่อไปอีก นั่นคือเหตุการณ์ฟั่นเชือก ใน นอสตราดามุส กล่าวไว้ว่า
"หมู่คณะนี้จะสร้างสันติภาพด้วยเชือกฟั่น"เวลานั้น มีการฟั่นเชือกอัญเชิญเสาค้ำฟ้าไปยัง สภาธรรมกายสากลพอดี
แล้วยังมีอีกบทหนึ่งที่กล่าวถึง นกใหญ่บินอย่างสง่างามเหนือนครแห่งพระอาทิตย์ นั่นคือโลโก้ของธงธรรมกายท เจดีย์ที่โบกสะบัดในวันอัญเชิญเสาค้ำฟ้า
ประจักษ์พยานที่ปรากฏตรงหน้า และที่พบ เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้มีความมั่นใจว่า นอสตราดามุสได้มองเห็นหมู่คณะนักสร้างบารมีหมู่คณะนี้ และถ้าหากว่ามีเวลาที่จะทุ่มเทศึกษาให้มากขึ้น ก็อาจจะได้ภาพรวมที่ใหญ่ที่สุด คือการสร้างบารมีของชาวโลกทุกๆ คน
คำทำนายของนอสตราดามุสเกี่ยวกับหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เหตุที่สนใจแปลโคลงคำทำนายของ นอสตราดามุส เกี่ยวกับหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย เพราะเมื่อ ๘ ปีที่แล้ว เคยได้ยิน พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) กล่าวถึงท่านว่า จะหาใครในโลกที่เอาจริงอย่างท่านไม่มี อีกแล้ว ทำให้อยากศึกษาเกี่ยวกับหลวงปู่มากขึ้นว่าท่านเป็นบุคคลเช่นใด เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าจากพยานที่อยู่ในยุคเดียวกับท่านก็ยิ่งศรัทธาท่าน ยิ่งปฏิบัติตามคำสอนของท่านก็ยิ่งเคารพรักอย่าง สูงสุด และเมื่อได้ยินว่านอสตราดามุสพูดถึงหลวงปู่ ก็ไม่รอรีที่จะรีบหามาอ่านและถอดความแม้จะยาก สักแค่ไหน เพราะกระจัดกระจายอยู่ในศตวรรษต่างๆ หรือบทต่างๆ หรือบรรทัดต่างๆ หรือไปซ่อนอยู่ในคำใดคำหนึ่งก็ไม่ย่อท้อ ในที่สุดก็ได้พบว่าในโคลงคำทำนายอนาคต ๕๐๐ ปีล่วงหน้า มีหลายบทที่พูดถึงหลวงปู่ ได้ไพเราะตรงตามความเป็นจริงมากที่สุดยืนยันได้ด้วยประจักษ์พยานที่มองเห็นได้ด้วยสายตาและพิสูจน์ได ้จากการปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่มานาน โคลงคำทำนายบาทตัวอย่างที่น่าเชื่อถือ ได้แก่ พระสงฆ์จะมาบอกข่าว สารตอนกลางคืนอีก ๓ ปีต่อมาหลังจากเห็นประโยคนี้ก็มี DMC เป็นการพิสูจน์และยืนยันว่านอสตราดามุส ได้พยากรณ์เกี่ยวกับหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญอย่างแน่นอน บทที่จะนำมาเสนอบทแรกอยู่ในศตวรรษที่ ๑ บทที่ ๕๐ (๑.๕๐) ดังที่จะอธิบายและวิเคราะห์ไป ทีละบาท (stanza)1.50De lซaquatique triplicitnaistra,Dซun qui fera le jeudi pour sa feste:Son bruit, loz, regne, sa puissance croistra,Par terre et mer aux Oriens tempeste. คำว่า "aquatique" น้ำ ไม่ได้ระบุว่าเป็นแม่น้ำ แต่หมายถึงสายน้ำทีนี้เราจะมาพิสูจน์ว่า นอสตราดามุสหมายถึงบ้านเกิดของหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี สภาพภูมิศาสตร์ที่บ้านเกิดของหลวงปู่ มีน้ำ ๓ สาย ซึ่งเป็นคลองไม่ใช่แม่น้ำ มีคลองสองพี่น้อง คลองบางใหญ่ และคลองลำรางมาบรรจบกัน (ปัจจุบันเหลือ ๒ สายเพราะถมคลองลำราง) แม้จะผืนน้ำตรงนี้จะไม่ได้มีลักษณะเป็นแม่น้ำ แต่ก็มีน้ำมาก ใช้แข่งเรือได้ บริเวณนี้มีน้ำท่วม ๗ - ๘ เดือนทุกปี ตรงกับคำว่ามีน้ำมาก ส่วนคำว่ามีน้ำล้อมรอบก็ตรง กับลักษณะเป็นเกาะของแผ่นดินจุดที่อยู่เหนือน้ำ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ผืนน้ำ ๓ สาย จะเป็นลำธาร คลอง แม่น้ำหรือทะเล กลายเป็นปริศนาที่น่าทึ่ง ทำให้นักแปลและนักถอด รหัสนอสตราดามุสพยายาม หาแผ่นดินที่อยู่ระหว่างน้ำ ๓ สายในประเทศต่างๆ ได้แก่ คานาดาที่ ๔๘ องศาละติจูด มีแม่น้ำ ๒ สาย กับมหาสมุทรแปซิฟิกล้อมรอบแต่ก็ไม่มีผู้มีชื่อเสียง หรือมีกำเนิดพิเศษเกิดบริเวณนี้ นักแปลต้องตัดประเด็นนี้ทิ้งไป ได้เลยเพราะคำว่า "Oriens" ทิศตะวันออก ในบาทสุดท้ายของโคลงบทนี้ชี้ชัดว่า บุคคลท่านนี้ไม่ใช่ชาวตะวันตกอย่างแน่นอน
ถ้าถอดเป็นสัญลักษณ์ทั่วไปของทางตะวันตก คำว่า น้ำ หมายถึงความยุ่งยาก อุปสรรค การเกิด ในที่ที่มีน้ำล้อมรอบและอยู่เหนือน้ำหมายความว่า บุคคลผู้นี้จะเผชิญอุปสรรคแต่จะอยู่เหนืออุปสรรค คำแปลตามระบบสัญลักษณ ์จะไปตรงกับการ ถอดรหัสนอสตราดามุสที่เกี่ยวกับหลวงปู่ในบทอื่นๆ ที่บอกว่า ท่านสามารถก้าวข้ามอุปสรรคได้
คำว่า "triplicite" สาม ยังหมายถึงการทวีเพิ่มขึ้นเป็นสาม และมีการแบ่งงานเป็นส่วนๆ ก็จะต้องหมายถึงภารกิจและการขยายงาน
เนื่องจากนอสตราดามุสเป็นชาวยุโรปอยู่ในตะวันตก ย่อมเห็นว่าทิศตะวันออกของเขาคือทวีปเอเชีย ฉะนั้น บุคคลผู้นี้จึงอยู่ในทวีปเอเชีย การแปล มาลงที่ แผ่นดินที่มีน้ำสามสายล้อมรอบจึงชัดเจนยิ่งขึ้น
Naistra เกิด ถ้าแปลโดยผิวเผิน คำๆ นี้หมายถึงเกิดแบบมนุษย์ทั่วไป แต่เมื่อเราถอดรหัสในรหัสด้วยการค้นคว้าให้ถึงที่สุดของความหมาย และเทียบเคียงกับตัวท่านตามที่ได้ยินได้ฟัง มาจากบุคคลใกล้ชิดท่านและการปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยตนเองก็จะพบว่าบุคคลผู้นี้มีกำเนิดพิเศษ เมื่อแปลเป็นภาษา นอสตราดามุสจะได้ความว่า
บุคคลผู้นี้จะมาสู่โลก บังเกิดขึ้นเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นชีวิตที่เหมือนความฝัน ท่านจะก้าวออกมาจากความหลับ ไม่หลับแต่จะฝัน
ท่านผู้นี้จะมีชีวิตเหมือนความฝัน ยังถอด รหัสได้อีกว่า ท่านผู้นี้จะเข้าถึงที่ลึกล้ำผ่านอุปสรรค เข้าไปสู่ความรู้ความเข้าใจโดยไม่มีสิ่งใดขัดขวางได้เลย
ความหมายของบาทนี้ทำให้แน่ใจยิ่งขึ้นว่าเป็น หลวงปู่ จากประวัติที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สอนนั่งสมาธิทุกวันพฤหัสบดี ตรงกับ le jeudi ทุกวันพฤหัสบดีคำว่า sa feste วันหยุดพักผ่อน เป็นการปลีกตัวในที่วิเวกทางศาสนาหรืออยู่ธุดงค์ เป็นการพักกายหยุดใจตามหลักการปฏิบัติธรรมหรือการนั่งสมาธิ ชีวิตใหม่ของ ท่านเหมือนความฝัน หมายความว่าท่านตื่นอยู่เสมอ ดวงตาปิดจิตใจเปิดเกิดความร ู้ภายในที่เรียกว่าฝันในขณะที่กำลังตื่นอยู่
เมื่อนอสตราดามุสได้บอกตำแหน่งที่เกิดของท่านแล้ว การเกิดที่พิเศษ และหน้าที่แล้วยังบอกบุคลิกของท่านผู้นี้อีกด้วย ผู้ถือกำเนิดตรงที่มีน้ำสามสายบรรจบกัน ได้สอนนั่งสมาธิทุกวันพฤหัสบดี คำว่า การสอน ในภาษาฝรั่งเศสยังหมายถึงการรวมคณะบุคคลที่มีหน้าที่และการทำงานหรือการกระทำที่เกี่ยวกับศาสนาโดยประกาศออกมาเป็นคำพูด
คำว่า jeudi วันพฤหัสบดี ตรงกับชื่อของ เทพจูปิเตอร์ นอสตราดามุสมีความรู้เกี่ยวกับตำนาน เทพปกรณัมอมตะของกรีกและโรมันเป็นอย่างดีและชอบเอาบุคคลที่ตนต้องการกล่าวถึงซ่อนอยู่ ในชื่อของเทพที่ต้องการ จะสื่อถึงว่าบุคคลผู้นี้มีลักษณะเป็นเทพผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุดไม่มีใครต้านทานได้เหมือนเทพจูปิเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่
นักแปลนอสตราดามุสส่วนใหญ่มักตีความหมาย ของ เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุด ในโคลง บทนี้และบทอื่นๆ ว่าบุคคลผู้นี้เป็นนักปกครองที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม แต่ความหมายนี้ใช้กับ หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญไม่ได้ เพราะเมื่อถอดรหัส คำว่า ท่านก้าวออกมาจากความหลับ ในภาษาฝรั่งเศส แล้วจะมีความหมายว่าท่านผู้นี้ อยู่ห่างไกลจากความสุดขั้ว นั่นคือท่านอยู่ตรงกลางระหว่างขั้วทุกขั้ว คำว่า ตรงกลาง แสดงว่า ท่านไม่ใช่ผู้ที่ใช้ความรุนแรงหรือเผด็จการ แต่เป็นผู้ที่ใช้อำนาจด้วยความเที่ยงธรรมและถูกต้อง อำนาจเด็ดขาดสูงสุดของท่านในโคลง ๑.๕๐ นี้ เกิดจากความรู้ภายใน การสอนสมาธิและการดูแลรักษาให้ทุกคนพ้นอันตราย
คำว่า วันหยุดพักผ่อนของท่าน เป็นการแสดงภารกิจของท่าน โดยไม่ได้เป็นการพักผ่อน ตามธรรมดาแต่เป็นการพักกายหยุดใจ ด้วยการ ปลีกวิเวกในทางพระพุทธศาสนา เราได้ทราบประวัติ ของหลวงปู่แล้วว่า จะสอนสาธุชนทุกวันพฤหัสบดี ข้อความนี้จะไปยืนยันกับคำทำนาย ว่าวันพฤหัสบดี เป็นวันที่ทุกคนได้หยุดกายพักใจ ดวงตาปิดจิตใจเปิดเกิดความรู้ภายในขณะกำลังตื่นอยู่เรียกว่า ไม่หลับแต่จะฝัน ซึ่งตรงกับหลวงปู่ที่ท่านสามารถ ฝันทั้งๆ ที่ยังตื่นอยู่
คำว่าเปล่งสีหนาท son bruit มาจาก sa puissance อำนาจของท่าน แปลว่าการพูด ไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดาแต่เป็นคำพูดที่ประกาศออกมาเป็นคำสอนที่แฝงด้วยอำนาจเด็ดขาดจึงเรียกว่า เปล่งสีหนาทอย่างม ีพลังของบุคคลที่ทุกคนจะต้องหยุดฟัง และยอมรับด้วยความจับใจ อำนาจในการสอนของท่านเป็นอำนาจเดียวกันกับการปกครองดูแล นั้นก็หมายความว่าท่านมีความเป็นครู ผู้ดูแลคุ้มครองรักษาด้วยในเวลาเดียวกัน
คำว่า Par terre et mer อำนาจของท่าน ผู้นี้จะแผ่ขยายไปในแผ่นดินและทะเล หมายความ ว่า ท่านจะดูแลรักษามนุษย์ถึงที่สุด ที่สุดของมนุษย์ อยู่ที่ไหน ท่านจะตามดูแลรักษามนุษย์ถึงที่นั่น เพราะคำว่า terre โลก แผ่นดิน และสุดเขตของมนุษย์ บุคคลท่านนี้ จะแผ่ขยายอำนาจของท่านไปอย่างไม่มีขอบเขต และไม่มีที่สิ้นสุด อำนาจของท่านไม่ได้จำกัดแค่แผ่นดินและโลกเพราะมี คำว่า mer ทะเลแสดงว่าท่านจะดูแลและรักษา แผ่อำนาจออกไปอย่างไพศาลหาที่สุดมิได้
Oriens บุคคลท่านนี้อยู่ทางทิศตะวันออก หรือทวีปเอเชียเป็นบุคคลที่ก่อให้เกิดความ สั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงทางทวีปเอเชีย
ปกติวิสัยของนอสตราดามุส ชอบพูดอะไรระหว่างสองขั้ว คือคลุมเครือกับชัดเจน รบกับสงบ แพ้กับชนะ ดำกับขาว อันตรายกับไม่อันตราย คำว่า สั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวง มีสถานการณ์ ๒ อย่างเกิดคู่กัน คือ สถานการณ์ที่กำลังจะอับแสง และสถานการณ์ที่กำลังจะเจิดจ้า นักแปล นอสตราดามุส ส่วนใหญ่จะแปลแต่สถานการณ์ อับแสงคือเลวร้าย ภัยพิบัติโดยไม่ได้แปลความหมาย ของอีกขั้วหนึ่งซึ่งจะต้องมีอยู่เสมอ
คำว่า Oriens tempeste สั่นสะเทือน อย่างใหญ่หลวงทางทิศตะวันออก หมายความว่าบุคคลผู้นี้จะมาบังเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ยากลำบากและเป็นอันตราย การมาบังเกิดของท่านก็จะทำ ให้สถานการณ์เลวร้ายนี้อับแสงลง
คำว่า"แผ่นดิน" หมายถึงที่สุดของมนุษย์หมายความว่ามีมนุษย์อยู่ที่ไหนท่านจะตามดูแลรักษาถึงที่นั่น คำว่า "ทะเล" หมายถึงอำนาจของท่านจะแผ่ขยายไพศาลไม่มีขอบเขต "ทางทิศตะวันออก" หมายถึงทวีปเอเชีย และมีความหมายต่อไปอีกว่า คำสอนและกิตติศัพท์ของท่านจะออกมาจากทวีปเอเชีย แสดงว่าคำสอนของท่านจะแผ่ขยาย ไปยังทวีปอื่นๆ
ขอย้อนกับไปในคำ"Naistra" คำสุดท้าย ของบาทแรกที่แปลไปแล้วว่า มีการเกิดที่พิเศษของบุคคลพิเศษ" เมื่อถอดรหัสความหมายที่ซ่อนอยู่ของคำๆ นี้ให้ลึกซึ้งลงไปอีกพบว่านอสตราดามุส ยังได้หมายความว่า"บุคคลท่านนี้เข้าไปแล้วจะกลับออกมาใหม่ ณ สถานที่ที่ท่านละจากไปเป็นจุดเริ่มต้น นั่นก็คือแผ่นดินที่มีน้ำ ๓ สายล้อมรอบ นั่นเอง

คำทำนาย นอสตราดามุส เกี่ยวกับหลวงปู่


ในโคลงบทที่ ซ. 10 ค. 75 และ ซ. 2 ค. 29 นอสตราดามุสได้ทิ้งเงื่อนงำของ "ศรัทธาใหม่" โดยพรรณาไว้ดังนี้ "
He will appear in Asia at home in Europe… One who is issued from great Hermes…"
"ท่านจะปรากฏกายในเอเชีย ตั้งถิ่นฐานในยุโรป… ผู้ซึ่งเป็นผลมาจากองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่…" (ซ. 10 ค. 75)
"The man from the East will come out of his seat, Passing across the Apentines to see France, He will fly through the sky, the rains and snows, And strike everyone with the rod."
"บุรุษจากตะวันออกจะลุกออกจากที่ประทับ เดินทางผ่าน(เทือกเขา) อาเพนไนส์เข้าสู่ฝรั่งเศส เขาจะบินมาบนท้องฟ้า ฝ่าสายฝน และหิมะ และตีกระทบด้วยไม้วิเศษ"โคลงทั้งสองบทข้างต้น ชี้ชัดว่าผู้นำแห่งศรัทธาใหม่ จะต้องมาจากเอเชียแน่นอน แต่อาจจะต้องเดินทางไกลเพื่อเผยแผ่สัจจธรรมจนมีถิ่นฐานในยุโรป และเป็นอัครสาวกขององค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ คำว่า "Hermes" เดิมเป็นชื่อเทพเจ้าของชาวกรีกโบราณ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ผู้นำของ "ศรัทธาใหม่" จะเป็น สาวกของพระพุทธเจ้า ในโคลงบทที่ ซ. 3 ค. 31 นอสตราดามุสบันทึกคำทำนายไว้ดังนี้
"The moon in the middle of the night… The young sage alone with his mind has seen it. His disciples invite him to become immortal… His body in the fire…" "ดวงจันทร์ลอยเด่นยามราตรี… หนุ่มคงแก่เรียนผู้สันโดษมองเห็นภาพในดวงจิต เหล่าสาวกจะอัญเชิญท่านไปสู่ความเป็นอมตะ ร่างของท่านอยู่ในเพลิง"นอสตราดามุสระบุถึงพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มี "หนุ่มคงแก่เรียน" "เห็นภาพในดวงจิต" "ไปสู่ความเป็นอมตะ" และ "ร่างของท่านอยู่ในเพลิง" ผู้นำของศรัทธาใหม่น่าจะเป็นพระสงฆ์ "เห็นภาพในดวงจิต" น่าจะหมายถึง การเห็นภาพในสมาธิ เพราะมีโคลงบทอื่นๆ ที่ระบุว่า "เห็นสัจจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด" หรือ "เปล่งวาจาด้วยปากที่ปิดแน่น" หรือ "การมองเห็นภาพลักษณ์ในความสงบของผืนทะเลสาบ" เป็นต้น "ศรัทธาใหม่" ของสังคมโลก ท่านได้พาดพิงไปถึง "พระจันทร์" หรือ "ดวงจันทร์" หรือแม้แต่ "แสงจันทร์" คลายครั้งหลายคราระบุแม้กระทั่งว่า ผู้นำของ "ศรัทธาใหม่" ของโลกนี้ จะมีชื่อเกี่ยวกับ "พระจันทร์" หรือ The Moon เห็นได้จากโคลงทำนาย ซ. 2 ค. 28 ข้างล่างนี้
หลวงพ่อวัดปากน้ำฯในวัยหนุ่ม"Second to the last of the prophet’s name, Will take Diana’s day(The moon’s day) as his day of silent rest… He will travel far and wide in his drive to infuriate, delivering a great people from subjection." "พยางค์ที่สองของนามศาสดาพยากรณ์ จะใช้วันแห่งพระจันทร์เป็นวันสำหรับพักในความเงียบ เขาจะเดินทางกว้างและไกล ส่งแรงขับทำให้ผู้คนสะดุดใจ และนำพามหาชนให้หลุดพ้นจากความเป็นข้า(ของบ่วงกรรม?)" ซ. 2 ค. 28ประโยคที่บอกว่า "พักในความเงียบ" และ "วันแห่งพระจันทร์" ถ้ามาเชื่อมกับโคลงที่พรรณาว่า "หนุ่มคงแก่เรียนผู้สันโดษเห็นภาพในดวงจิต" จะเป็นไปได้มากทีเดียวว่า นอสตราดามุสมองเห็นภาพการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ในวันพระจันทร์เต็มดวง เพราะมีอีกโคลงที่พรรณาว่า "They see the truth with eye closed, Speak the fact with closed mount… Then at the time of need the awaited one will come late…" "พวกเขาเห็นสัจจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด… เปล่งสัจจวาจาด้วยปากที่ปิดแน่น… บุคคลอันเป็นที่พึ่งยามต้องการจะมาถึงช้า … " (ซ. 5 ค. 96)โคลงทำนายบทนี้ยิ่งชี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ศรัทธาใหม่ของโลกมนุษญ์จะสัมพันธ์กับการนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอย่างแน่นอน การมองเห็นสัจจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด และเปล่งสัจจวาจาด้วยวาจาที่ปิดแน่น จะเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้ นอกจากการนั่งสมาธิจนถึง ธรรมะ ภายใน มองเห็นดวงธรรม เห็นกายในกาย เห็น ธรรมกาย ยังมีโคลงทำนายที่น่าจะตีความได้ว่าเป็นการบ่งบอกถึงการนั่งวิปัสสนากรรมฐานกับความหมายที่เกี่ยวกับ "พระจันทร์" อีกโคลงคือ "the great amount of silver of Diana (Moon) and Mercury (Hermes) The images will be seen in the lake (the mind of meditation) the sculptor looking for new clay, He and his followers will be soaked in Gold." "รัศมีสีเงินของแสงจันทร์กับบารมีแห่งองค์เทพแผ่กระจายกว้าง ภาพลักษณ์ที่ปรากฏในความสงบของผืนทะเลสาบ ประติมากรเสาะหาดินปั้นใหม่ ร่างของท่านกับผู้ติดตาม (สาวก) จะถูกฉาบ (หล่อ) ด้วยทองคำ" (ซ. 9 ค. 12)คำว่า Diana ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงพระจันทร์ การออกเสียงแบบฝรั่งเศสยังตรงกับคำว่า Dhyana หรือ ฌาณ อันหมายถึงการนั่งวิปัสสนา ประโยคที่ว่า "ภาพลักษณ์ที่ปรากฏในความสงบของผืนทะเลสาบ" หมายถึงการเข้าฌาณจากการนั่งวิปัสสนาอย่างชัดเจน ประโยคใน ซ. 9 ค. 12 ที่บอกว่า "ประติมากรเสาะหาดินปั้นใหม่" น่าจะตีความได้ว่า สาวกของผู้นำศรัทธาใหม่นี้ จะต้องพยายามค้นหาสูตรหรือ มรรควิธีที่จะนำพาผู้ติดตามไปสู่แนวทางแห่งแสงสว่างแห่งสัจธรรม เป็นทางออกใหม่ หรือ ทางเลือกใหม่ หรือที่พึ่งใหม่ทางจิตวิญญาณที่หิวกระหายสัจธรรมของมนุษย์ สำหรับในประเทศไทย ที่วัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี จะมีมหาชนหลั่งไหลมาจากทุกทิศของประเทศ รวมทั้งชาวต่างประเทศ มาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน โดยการปฏิบัติของที่นี่ใช้ "วิชชาธรรมกาย" ของพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ" เป็นฐานของคำสอน ในขณะที่ศึกษาต้นกำเนิดของวัดพระธรรมกาย ก็ได้พบปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นเต้นแห่งศรรตวรรษโดยบังเอิญ เพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำ มีฉายาทางพระว่า "สด จนฺทสโร" ชื่อในพยางค์ที่สองของท่าน มีความหมายตรงกับคำว่า "พระจันทร์" พ้องกับคำทำนายของนอสตราดามุสอย่างชัดเจน จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ความลี้ลับของโคลงทำนายของนอสตราดามุส จึงได้ถูกไขออกเป็นข้อๆ จากการศึกษาชีวประวัติของหลวงพ่อวัดปากน้ำ "สด จันทสโร" พบว่า ตลอดชีวิตท่าน เป็นพระที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยและธรรมปฏิบัติ จนค้นพบมรรควิธีเจริญทางธรรมะบรรลุถึง "วิชชาธรรมกาย" ที่สูญหายไปจากโลกนี้แล้วกว่าสองพันปี เผยแผ่พระธรรมคำสอนจนกระทั่งมรณะภาพ ในปี พ.ศ. 2502 คงเหลือไว้แต่วิชชาธรรมกายไว้เป็นมรดกของโลก เมื่อเห็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปี พ. ศ. 2460 เป็นวันที่หลวงปู่สด จนฺทสโร บรรลุถึง "วิชชาธรรมกาย" ทำให้โคลงทำนายของนอสตราดามุสทุกบทที่พรรณนาถึง "ศรัทธาใหม่" ของโลกเด่นชัดขึ้นมาฉับพลัน เข้าใจถึงเหตุผลทำไมนอสตราดามุสถึงได้พร่ำเอ่ยถึง "พระจันทร์" กับ "ดวงจันทร์" มากมายผิดปกติ พระมงคลเทพมุนี ได้เคยเทศนาส่วนที่เกี่ยวกับ "วิชชาธรรมกาย" ไว้ว่า "ธรรมจะต้องชนะอธรรมเสมอ เราไม่เดือดร้อนใจ เพราะธรรมกายของพระพุทธศาสนาเป็นของแท้ ไม่ใช่ของเก๊ หรือของเทียม ธรรมกายจะปรากฏเป็นจริงแก่ผู้เข้าถึง" โดยการตั้งข้อสันนิฐานจากตัวท่านเป็นแกนนำไปสู่ข้อพิสูจน์อื่นๆ แยกเป็นประเด็นๆ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนดังนี้ การค้นพบวิชชาธรรมกาย คือ การค้นพบศรัทธาใหม่ของโลกจากเอเชียหรือ The New Faith พระมงคลเทพมุนี คือสาวกแห่งศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ในเอเชีย (Issued from the great Hermes) หนุ่มคงแก่เรียนผู้สันโดษเห็นภาพในดวงจิต (The young sage alone with his mind has seen it.) ด้วยวัยเพียง 32 ปีของภิกษุสด จนฺทสโร เป็นผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย กายที่ห่มด้วยจีวรสีเพลิง (His body in the fire) ร่างของท่านอยู่ในเพลิง มือที่ถือไม้ชี้ (He strikes everyone with the rod) ตีทุกคนด้วยแขนงไม้ วันที่เข้าถึง "ธรรมกาย" คือวันขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ตรงกับ "พระจันทร์ลอยเด่นยามราตรี" ท่านนั่งวิปัสสนากรรมฐาน "จนสามารถเห็นภาพในดวงจิต" "ภาพลักษณ์ปรากฏในความสงบของผืนทะเลสาบ" เห็นธรรมกายจาก "การเห็นสัจธรรมด้วยดวงตาที่ปิด" และเปล่งสัจวาจาด้วยปากที่ปิดแน่น" และ "ประติมากรเสาะหาดินปั้นใหม่" คือวิธีการพบสัจธรรมวิธีใหม่ พยางค์ที่สองของนามศาสดาพยากรณ์ที่มีความหมายตรงกับพระจันทร์ ตรงกับชื่อพยางค์ที่สองของหลวงปู่พระมงคลเทพมุนี คือ สด จนฺทสโร "เหล่าสาวกจะอัญเชิญท่านไปสู่ความเป็นอมตะ ร่างของท่านอยู่ในเพลิง" (ความเห็นของผมเอง เข้าใจว่า ร่างของหลวงพ่อวัดปากน้ำ เหล่าสานุศิษย์ ที่ยังไม่ได้เผา (ยังเก็บรักษาไว้ที่วัดปากน้ำ) จึงอาจตีความได้ว่า ร่างท่านยังเป็นอมตะอยู่ในจีวรสีเพลิง "ร่างของท่านกับผู้ติดตาม(สาวก)จะถูกฉาบหรือหล่อด้วยทองคำ" วัดพระธรรมกายได้มีการหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นทองคำ ตามด้วยหล่อรูปเหมือนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง (ลูกศิษย์ หรือ ผู้ติดตาม) เป็นทองคำเช่นเดียวกัน จากหนังสือ "นอสตราดามุส" โดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน พิมพ์ครั้งที่ 8 สำนักพิมพ์ คู่แข่ง

Sunday, September 28, 2008

Home



Khet



X



Large Hadron Collider (LHC)


เอกภพหรือจักรวาลประกอบขึ้นจากอะไร คือคำถามพื้นฐานของมนุษย์เล็กๆ ที่อยากจะเข้าใจในกำเนิดของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ตามทฤษฎี "บิกแบง" (Big Bang) การระเบิดครั้งใหญ่ที่ก่อเกิดจักรวาลเมื่อ 1.37 หมื่นล้านปีก่อนควรจะมีสสาร (matter) และปฏิสสาร (antimatter) ในปริมาณเท่าๆ กัน ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วสสารและปฏิสสารที่มีมวลเท่ากันแต่มีประจุตรงข้ามกันนั้นจะหักล้างกันเองแล้วเปลี่ยนมวลกลายไปเป็นพลังงานและไม่น่าจะมีกาแลกซี ดวงดาว โลกหรือสิ่งมีชีวิตอยู่เลย

หากทฤษฎีนี้เป็นจริงทำไมสสารและปฏิสสารไม่หักล้างกันไปอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่เกิดระเบิดครั้งนั้น?

เป็นไปได้หรือไม่ที่มีเอกภพซึ่งประกอบขึ้นด้วยปฏิสสารมากมายอยู่ที่ใดสักแห่ง?

เกิดอะไรขึ้นกับปฏิสสารหลังบิกแบง?

หลากหลายคำถามที่จะนำไปสู่คำตอบว่าเหตุใด จึงมีตัวเราที่อยู่ในเอกภพที่เต็มไปด้วยสสารมากมาย

นอกจากนี้ยังมีคำถามว่าเกิดสสารที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเราได้อย่างไร ย้อนกลับไปในอดีตเราเชื่อว่าอะตอมคือหน่วยย่อยที่สุดของสสาร แต่ต่อมาเราก็พบว่ายังมีโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอนที่เล็กกว่า และมี "ควาร์ก" (Quark) เป็นสิ่งที่เล็กลงไปอีก

แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่เล็กที่สุดและยังไม่สามารถตอบได้ว่ามวลก่อเกิดขึ้นในจักรวาลอันว่างเปล่าได้อย่างไร

เร่งอนุภาคหา "ฮิกก์ส" ต้นกำเนิดแห่งมวลในจักรวาล

กว่า 40 ปีที่ผ่านมาจึงเกิดทฤษฎีเกี่ยวกับอนุภาค "ฮิกก์ส" (Higgs) ที่เสนอโดย ศ.ปีเตอร์ ฮิกก์ส (Peter Higgs) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ซึ่งอนุภาคฮิกก์สที่ได้รับการขนานนามว่า "อนุภาคพระเจ้า" (God Particle) จะช่วยอธิบายจุดเริ่มต้นของมวล และอธิบายเหตุผลว่าทำไมบางอนุภาคในแบบจำลองมาตรฐาน (Standard model) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่พยายามอธิบายอนุภาคมูลฐานและแรงพื้นฐานทั้งหมดในธรรมชาติด้วยสมการเพียงหนึ่งเดียว จึงมีมวลและบางอนุภาคไม่มีมวล โดยนักฟิสิกส์ได้พบสสารอื่นๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นสสารหมดแล้ว ยกเว้นฮิกก์ส

การค้นหากำเนิดจักรวาล คล้ายการเก็บร่องรอยคดีฆาตกรรมที่รวบรวมหลักฐาน ณ ที่เกิดเหตุเพื่อวิเคราะห์ย้อนหลังว่าเกิดอะไรขึ้น ทฤษฏีมีอยู่แล้วแต่ยังขาดผลการทดลองมายืนยัน ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์หลายคนจึงฝากความหวังไว้ที่การทดลองขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ (European Center for Nuclear Research) หรือ "เซิร์น" (CERN) ซึ่งจะเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (Large Hadron Collider: LHC) ในฤดูร้อนของทวีปยุโรปหรือประมาณ เดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้ เพื่อค้นหาอนุภาคฮิกก์สจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย ที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจะเติมเต็มความเข้าใจในองค์ประกอบพื้นฐานของจักรวาลได้

ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ จากภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าตามทฤษฎีสนามควอนตัม (Quantum field) นักฟิสิกส์เชื่อว่าต้องพบบางอย่างจากการชนกันของอนุภาค ที่พลังงานสูงถึงระดับเทราอิเล็กตรอนโวลต์ (TeV) ซึ่งเป็นระดับพลังงานที่กำลังจะทดลองในเซิร์น

ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นจะต้องมีอะไรผิดในทฤษฎีสนามควอนตัมและนักวิทยาศาสตร์ต้องกลับมาคิดกันใหม่ อย่างไรก็ดีนักฟิสิกส์มั่นใจว่าจะไม่เป็นเช่นกรณีหลัง เนื่องจากที่ผ่านมาทฤษฎีสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในระดับพลังงานที่ต่ำกว่าการทดลองของเซิร์นที่จะเกิดขึ้นได้ดี

"เซิร์น" องค์กรแห่งยุโรป-ทำงานระดับโลกเพื่อไขจักรวาล

ความรุ่งเรืองสุดขีดของฟิสิกส์อยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เซิร์นจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเวลาทองของวิทยาศาสตร์เชิงกายภาพยังไม่หมดลง โดยหลังก่อตั้งมากว่า 50 ปีเซิร์นมีการทดลองเร่งอนุภาคในระดับพลังงานต่างๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ไม่กี่สิบกิกะอิเล็กตรอนโวลต์ (GeV) ไปจนถึงหลายร้อย GeV และมีการค้นพบอนุภาคมูลฐานบางตัว และให้กำเนิดเวริล์ด ไวล์ด เว็บ (www) ที่เป็นประโยชน์ต่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของคนทั้งโลกเมื่อปี 2533

จนกระทั่งเมื่อ 19 ปีที่ผ่านมาองค์กรวิจัยแห่งยุโรปนี้ได้ตัดสินใจสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี ซึ่งเป็นเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ที่อยู่ในอุโมงค์ใต้เมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์และชายแดนฝรั่งเศสลงไป 100 เมตรขดเป็นวงกลมระยะทาง 27 กิโลเมตร และมีแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวด (Superconducting Magnet) ทำหน้าที่ควบคุมลำอนุภาคให้เบนจนเป็นเส้นรอบวง ทั้งนี้เครื่องเร่งอนุภาคแรกของเซิร์นซึ่งขดเป็นวงกลมเช่นเดียวกันนั้นมีความยาวเพียง 7 กิโลเมตร

ภายในองค์กรวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งยุโรปนี้จ้างนักวิทยาศาสตร์หลากหลายเชื้อชาติ ทำงานวิจัยโดยอาศัยความพร้อมทางเครื่องมือของเซิร์น เฉพาะเจ้าที่ซึ่งได้รับการว่าจ้างให้ทำงานโดยตรงก็มีถึง 2,500 คน ขณะที่มีนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกอีกราว 8,000 ที่แวะเวียนมาทำงานวิจัยที่นี่

ปัจจุบันเซิร์นมีสมาชิกจาก 20 ประเทศในยุโรปซึ่งมีหน้าที่และได้รับสิทธิพิเศษ โดยประเทศเหล่านี้ต้องร่วมลงทุนในค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานของเซิร์น และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับองค์กรและกิจกรรมต่างๆ

สำหรับไทยก็เกี่ยวข้องกับเซิร์นในฐานะที่เป็นประเทศกลุ่ม "ไม่ใช่สมาชิก" (non-Member States) ซึ่งมีอยู่หลายประเทศ อาทิ จีน เวียดนาม อิหร่าน เกาหลี ไต้หวัน เป็นต้น แม้ประเทศเหล่านี้ไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนหรือร่วมกำหนดทิศทางการวิจัย แต่ก็ได้ใช้ประโยชน์ทางการศึกษาวิจัยจากข้อมูลการทดลองของเซิร์น

เครื่องตรวจวัดสัญญาณกำเนิดจักรวาล

เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีในอุโมงค์ยักษ์ใต้ดินที่ขดรอบชายแดนฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ ประกอบไปด้วยสถานีตรวจวัดอนุภาคที่สำคัญๆ คือ

1.สถานีตรวจวัดอลิซ (ALICE) หน้าที่ของเครื่องตรวจวัดที่สถานีนี้คือการตรวจวัดสถานะพลาสมาควาร์ก-กลูออน (quark-gluon plasma) ซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานะที่เกิดขึ้นหลังบิกแบง ขณะที่เอกภพยังร้อนสุดขีด โดยการชนกันของอนุภาคที่จะเกิดขึ้นในเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีนั้นจะทำให้เกิดอุณหภูมิสูง 100,000 เท่าของใจกลางดวงอาทิตย์ นักฟิสิกส์หวังว่าภายในสภาวะนี้โปรตอนและนิวตรอนจะ "ละลาย" และปลดปล่อยควาร์กออกจากพันธะ

ทีมวิจัยในส่วนของอลิซวางแผนที่จะศึกษาสถานะพลาสมาควาร์ก-กลูออนเมื่อขยายตัวและเย็นลง รวมถึงสังเกตว่าสถานะพิเศษนี้ค่อยๆ กลายเป็นอนุภาคซึ่งประกอบขึ้นเป็นสสารในเอกภพอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร

2.สถานีตรวจวัดอนุภาคแอตลาส (ATLAS) เป็น 1 ใน 2 เครื่องตรวจวัดอเนกประสงค์ภายในเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี มีหน้าที่อย่างกว้างๆ คือตรวจหาอนุภาคฮิกก์ส มิติพิเศษ (extra dimension) และอนุภาคที่อาจก่อตัวขึ้นเป็นสสารมืด (dark matter) โดยจะวัดสัญญาณของอนุภาคที่คาดว่าถูกสร้างขึ้นหลังการชนกันของอนุภาค ทั้งแนวการเคลื่อนที่ พลังงาน รวมไปถึงการจำแนกชนิดอนุภาคนั้นๆ

แอตลาสเป็นระบบแม่เหล็กรูปโดนัทขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 46 เมตร นับเป็นเครื่องมือชิ้นใหญ่ที่สุดของเซิร์น และมีขดลวดแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดขดเป็นทรงกระบอกยาว 25 เมตร รอบๆท่อลำอนุภาคที่ผ่านใจกลางของเครื่องตรวจวัดอนุภาคนี้ เมื่อเดินเครื่องจะเกิดสนามแม่เหล็กในศูนย์กลางของทรงกระบอก ที่สถานีนี้มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานกว่า 1,700 คน

3.สถานีตรวจวัดอนุภาคซีเอ็มเอส (CMS) เป็นเครื่องตรวจวัดอนุภาคที่มีเป้าหมายเดียวกับแอตลาส แต่มีความแตกต่างในรูปแบบการทำงานและระบบแม่เหล็กในการตรวจวัดอนุภาค ซีเอ็มเอสสร้างขึ้นด้วยขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่เกิดจากสายเคเบิลตัวนำยิ่งยวดที่ขดเป็นทรงกระบอก ซึ่งสร้างให้เกิดสนามแม่เหล็กได้มากกว่าโลก 100,000 เท่า ซึ่งทำให้เครื่องตรวจวัดหนักถึง 12,500 ตัน

แทนที่จะสร้างเครื่องมือชิ้นนี้ภายในอุโมงค์ใต้ดินเหมือนเครื่องมืออื่นๆ แต่เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีกลับสร้างขึ้นจากบนพื้นดินแล้วแยกเป็นชิ้นส่วน 15 ชิ้นเพื่อนำลงไปประกอบในชั้นใต้ดิน และที่สถานีนี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ทำงานจำนวนมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสถานีแอตลาสถึง 2,000 คนจากกว่า 150 สถาบันใน 37 ประเทศ

4.สถานีตรวจวัดอนุภาคแอลเอชซีบี (LHCb) ซึ่งจะทำการทดลองเพื่อสร้างความเข้าใจว่าทำไมเราจึงอาศัยอยู่ในเอกภพที่เต็มไปด้วยสสาร แต่กลับไม่มีปฏิสสาร โดยมีหน้าที่พิเศษในการศึกษาอนุภาคที่เรียกว่า "บิวตี ควาร์ก" (beauty quark) เพื่อสังเกตความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างสสารและปฏิสสาร และแทนที่จะติดตั้งเซนเซอร์รอบจุดที่อนุภาคชนกันก็ใช้ชุดเซนเซอร์ย่อยเรียงซ้อนกันเป็นความยาว 20 เมตร

เมื่อแอลเอชซีเร่งให้อนุภาคชนกันแล้วจะเกิดควาร์กชนิดต่างๆ มากมายและสลายตัวไปอยู่ในรูปอื่นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเซนเซอร์เครื่องตรวจวัดแอลเอชซีบีจึงถูกออกแบบให้อยู่ในเส้นทางของลำอนุภาคที่จะเคลื่อนที่เป็นวงไปตามเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี

เครื่องเร่งอนุภาคยักษ์จับอนุภาคจิ๋วชนกัน

เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีจะเร่งลำอนุภาคของโปรตอน 2 ลำให้เคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามไปตามท่อที่วางขนานกันซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ภายใต้ภาวะสุญญากาศ แล้วชนกันที่ความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง 99.9999% ที่พลังงานสูงระดับ TeV หรือระดับล้านล้านอิเล็กตรอนโวลต์ (1012 eV)

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เฝ้ารอคอย เครื่องตรวจวัดอนุภาคต่างๆ จะวิเคราะห์ข้อมูลที่เกิดจากการชนกันนี้เพื่อตามหาสิ่งที่เครื่องตรวจวัดแต่ละเครื่องถูกออกแบบมา

ทั้งนี้ลำอนุภาคถูกควบคุมให้เคลื่อนที่ไปรอบเครื่องเร่งอนุภาครูปวงแหวนด้วยสนามแม่เหล็กความเข้มสูงที่สร้างขึ้นจากแม่เหล็กไฟฟ้าตัวนำยิ่งยวดซึ่งช่วยนำไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีแรงเสียดทานหรือสูญเสียพลังงาน และจำเป็นต้องรักษาความเย็นให้แม่เหล็กเหล่านั้นที่อุณหภูมิ -271 องศาเซลเซียสซึ่งเย็นกว่าอวกาศนอกโลกเสียอีก ดังนั้นเครื่องเร่งอนุภาคจึงต้องเชื่อมต่อระบบที่หล่อเย็นด้วยฮีเลียมเหลว

นอกไปจากฮิกก์สซึ่งจะตอบคำถามถึงภาวะเริ่มต้นของกำเนิดจักรวาลแล้ว นักฟิสิกส์ยังรอคอยหลักฐานที่เกิดจากอนุภาคชนกันเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีอีกหลายทฤษฎี อาทิ

- ทฤษฎีสมมาตรยิ่งยวด (supersymmetry theory) ที่อธิบายว่าอนุภาคมูลฐานมีคู่ "ซูเปอร์พาร์ทเนอร์" (superpartner) หรือคู่ยิ่งยวดที่คาดว่ามีมวลมากกว่า เช่น อิเล็กตรอน (electron) มีคู่คือ ซีเล็กตรอน (selectron) ควาร์ก (quark) มีคู่คือ สควาร์ก (squark) เป็นต้น เชื่อว่าคู่ยิ่งยวดเหล่านี้มีอยู่ในช่วงสั้นๆ หลังเกิดบิกแบง โดยเกิดขึ้นและสลายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากมวลที่มากทำให้ไม่เสถียร ซึ่งวิธีที่จะสร้างคู่ยิ่งยวดขึ้นมาต้องสร้างเงื่อนไขให้คล้ายหลังเกิดบิกแบงในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล

- ทฤษฎีซูเปอร์สตริง (Superstring theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่พยายามอธิบายอนุภาคและแรงพื้นฐานในธรรมชาติด้วยทฤษฎีเดียว โดยจำลองให้อนุภาคและแรงพื้นฐานเหล่านั้นคือการสั่นของเส้นเชือกสมมาตรเล็กๆ (tiny supersymmetry string) โดยมีแบบจำลองอย่างในทฤษฎีนี้ที่ผลการทดลองของเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี

- แบบจำลองที่สมมติว่าเอกภพมีมิติมากกว่า 4 มิติ (Large extra-dimensions theories) โดยเราสามารถรับรู้ได้ถึงมิติของความกว้าง ความยาว ความสูงและเวลา แต่มีทฤษฎีที่เสนอว่าเอกภพมีมิติที่มากกว่านี้และคาดว่าการทดลองของเซิร์นจะเผยให้เห็นมิติพิเศษ (extra-dimension) เพิ่มเติมมากกว่า 4 มิติที่เรารับรู้ได้

"เฟอร์มิแล็บ" คู่แข่งหาอนุภาคพระเจ้า

ไม่ใช่แค่เซิร์นที่มุ่งมั่นหาอนุภาคพระเจ้า แต่เครื่องเร่งอนุภาคจากฟากสหรัฐฯ อย่าง "เทวาตรอน" (Tevatron) ของห้องปฏิบัติการเฟอร์มิแล็บ (Fermilab) ก็มีเป้าหมายที่จะค้นหาอนุภาคฮิกก์สเช่นเดียวกัน ซึ่งการแข่งขันของนักฟิสิกส์ 2 ทวีปเป็นไปอย่างดุเดือดแต่ก็ไม่ถึงขั้นฆ่าแกงกัน โดยสหรัฐและเฟอร์มิแล็บก็กุลีกุจอที่จะมีส่วนร่วมกับเซิร์นในฐานะ "ผู้สังเกตการณ์" (Observer) และได้สนับสนุนเครื่องมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ชิ้นสำคัญๆ ด้วย

อย่างไรก็ดีขณะที่เซิร์นกำลังจะตัดริบบิ้นเดินเครื่องเร่งอนุภาคเพื่อหาอนุภาคพระเจ้าในเร็ววันนี้เทวาตรอนก็ใกล้จะปิดตัวลงในปี 2553 แล้ว

ปีเตอร์ ฮิกก์ส ซึ่งขณะนี้อยู่ในวัย 78 ปีแล้วกล่าวว่า บางทีเฟอร์มิแล็บอาจจะค้นพบอนุภาคฮิกก์สได้ก่อนห้องแล็บขนาดใหญ่อย่างเซิร์นก็เป็นได้ แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่นั่น เพราะเป็นไปได้ว่าสัญญาณของฮิกก์สอาจปรากฏอยู่ในข้อมูลการทดลองของพวกเขา แต่ปริมาณของข้องมูลที่มากเกิน ทำให้ยังไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้

ตามรายงานของนิตยสารเนชันแนลจีโอกราฟิก (National Geographic) ระบุว่าความยากของการตามหาอนุภาคฮิกก์ส คือการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เกิดจากเศษซากเป็นฝอยกระจายไปทั่ว ขณะพลังงานจากอนุภาคแปรสภาพเป็นมวลซึ่งเกิดหลังจากโปรตอนชนกันแล้ว และเศษซากการสลายตัวของฮิกก์สจะปรากฏก็ต่อเมื่อข้อมูลมหาศาลระดับเพตะไบต์ (petabyte) หรือข้อมูลระดับล้านกิกะบิต อีกทั้งโอกาสเกิดฮิกกส์จากอนุภาคชนกันก็มีเพียงหนึ่งในหลายล้านล้านครั้งเท่านั้น

อาจเกิด "หลุมดำ" แต่คงไม่กลืนโลก

อย่างไรก็ดีหลายคนอดหวั่นใจไม่ได้ว่าการทดลองของเซิร์นอาจทำให้เกิดหลุมดำที่กลืนกินโลกทั้งใบได้ แต่ความกังวลนั้นในความเห็นของปีเตอร์ ฮิกก์ส ผู้ให้กำเนิดทฤษฎีอนุภาคฮิกก์สมองว่าเป็นความกลัวที่เกิดจากการสร้างจินตนาการเกินจริงมากไป และระบุว่าหลุมดำที่เกิดขึ้นจากทดลองนั้นจะไม่ขยายใหญ่จนดูดโลกทั้งใบได้

ขณะที่นักฟิสิกส์ทฤษฎีของไทยอย่าง ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ ผู้ให้ความเห็นต่อการค้นหาอนุภาคฮิกก์สไปก่อนหน้านี้ก็ชี้แจงถึงความกังวลดังกล่าวว่า เป็นไปได้ที่การทดลองของเซิร์นจะทำให้เกิด "หลุมดำจิ๋ว" (mini black hole) แต่มีโอกาสน้อยมากที่หลุมดำดังกล่าวจะดูดกลืนโลก เพราะหลุมดำเหล่านี้เล็กมาก เล็กกว่าโปรตอนและช่องว่างระหว่างอะตอมหลายเท่า

ดังนั้นโอกาสหลุมดำจิ๋วที่จะดูดอนุภาคอื่นๆ จึงน้อยมาก และมีหลายทฤษฎีที่ทำนายว่าหลุมดำจิ๋วที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่เสถียรคือเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีและสลายตัวไปเป็นอนุภาคอื่นๆ ส่วนหลุมดำขนาดใหญ่ในอวกาศก็จะไม่ทำอันตรายเราหากเราไม่เข้าไปใกล้มากเกินไป

"โดยทฤษฎีแล้วถ้าหากมีหลุมดำจิ๋วลักษณะนี้เกิดขึ้นได้จริงละก็ มันอาจจะเกิดขึ้นอยู่แล้วในธรรมชาติ เคยมีผู้ใช้ทฤษฎีเดียวกันนี้ทำนายว่ารังสีคอสมิกพลังงานสูงจากนอกโลกก็สามารถทำให้เกิดหลุมดำขนาดเล็กพวกนี้บนบรรยากาศชั้นสูงของโลกเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้ามันดูดโลกเข้าไปละก็ มันคงดูดไปนานแล้ว ไม่ต้องรอเครื่องแอลเอชซี"

ดร.อรรถกฤตกล่าวและยืนยันว่าการทดลองของเซิร์นจะไม่เกิดระเบิดล้างโลกอย่างแน่นอน เพราะไม่มีทางทำให้เกิดระเบิดนิวเคลียร์ เนื่องจากการระเบิดแบบนิวเคลียร์นั้นต้องอาศัยปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ และเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบต่อเนื่อง ซึ่งต้องใช้ธาตุกัมมันตรังสีหลายกิโลกรัม

แต่ปฏิกิริยาในเครื่องเร่งอนุภาคของเซิร์นนั้นเกิดจากการชนกันของโปรตอน 2 ตัว ซึ่งมีมวลน้อยเกินกว่าจะเป็น "มวลวิกฤต" (critical mass) ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยเมื่อโปรตอนชนกันแล้วจะสลายตัวไป ส่วนอนุภาคที่เกิดขึ้นจากการชนก็จะตกที่เครื่องวัดของนักฟิสิกส์และไม่ชนกับธาตุหนักอื่นๆ จึงไม่เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับนักฟิสิกส์แล้วความน่ากลัวคงไม่ใช่ประเด็นว่าเซิร์นจะระเบิดหรือไม่ แต่ความน่ากังวลที่ยิ่งใหญ่อยู่ที่ "การชนกันครั้งไหน" จะเป็นเงื่อนไขก่อให้เกิดฮิกก์ส เพราะโอกาสการเกิดอนุภาคที่ทุกคนรอคอยมีเพียง "หนึ่งในล้านล้านครั้ง" เท่านั้น

และแม้จะเกิด "ฮิกก์ส" ขึ้นมาจริงๆ นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน เพื่อแกะรอยข้อมูลมากมายมหาศาล ที่ไม่ใครทราบว่าภารกิจการงมเข็มในอภิมหาสมุทรจะจบสิ้นเมื่อไหร่

หรือที่สุดแล้ว...การลงทุนมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบเป็นเงินไทย ของมนุษยชาติเพื่อไขกำเนิดจักรวาล อาจจะลงท้ายที่ไม่พบอะไรเลย

แต่นั้นก็ไม่อาจหยุดยั้งความสนใจใคร่รู้ สู่การค้นหาที่มาของสรรพสิ่ง เพราะคำถามที่ท้าทายที่สุดในขณะนี้ก็คือ "เรามาจากไหน" เพื่อจะตอบคำถามอันยิ่งใหญ่ต่อไปว่า "เรา (จักรวาล, โลก, และสิ่งมีชีวิต) จะเป็นอย่างไรต่อไป"

Pp